- ข่าวสารมิตรชาวไร่
- จ., 8 ส.ค. 65
ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ถูกนำมาปรับใช้ในภาคเกษตรกรรมมากขึ้น ด้วยนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ให้ภาคเกษตรมีความมั่นคง มีความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร และขณะเดียวกันก็เป็นการจูงใจให้ทายาทเกษตรกรหรือคนรุ่นใหม่สนใจกลับมารับช่วงสานต่อกิจการของครบครัว
ซึ่งเกษตรกรแต่ละรายมีความพร้อมด้านการลงทุนที่แตกต่างกัน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. จึงมี “โครงการสินเชื่อปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตรสู่ความยั่งยืน” เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกร, กลุ่มเกษตรกร, วิสาหกิจชุมชน, สหกรณ์และผู้ประกอบการ นำไปใช้ในการปรับโครงสร้างการผลิตหรือปรับเปลี่ยนการผลิตแบบดั้งเดิมไปสู่การผลิตแบบสมัยใหม่ โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุนการผลิต การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตหรือสินค้าทางการเกษตร ยกตัวอย่างเช่น การปลูกพืชโดยใช้ระบบน้ำหยด การผสมปุ๋ยใช้เองตามค่าวิเคราะห์ดิน การผลิตโดยใช้ระบบโรงเรือนอัจฉริยะ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการสูบน้ำหรือแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร การใช้โดรนในการพ่นยาฆ่าแมลง หว่านเมล็ดพันธุ์และให้ปุ๋ย เป็นต้น
วงเงินสินเชื่อรวม 15,000 ล้านบาท ระยะเวลาการให้สินเชื่อตั้งแต่บัดนี้ จนถึง 31 มีนาคม 2564
สำหรับคุณสมบัติผู้กู้ กรณีเกษตรกร อัตราดอกเบี้ย MRR-1 (MRR ปัจจุบันร้อยละ 7 ต่อปี) ในปีที่ 1-3 และ อัตรา MRR ตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป กรณีเป็นสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการนิติบุคคล อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา MLR-0.5 (ปัจจุบัน MLR ร้อยละ 5 ต่อปี) ในปีที่ 1-3 และอัตรา MLR ตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป ระยะเวลาชำระหนี้กรณีกู้เงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียน ไม่เกิน 12 เดือนนับจากวันกู้ และกรณีกู้เพื่อลงทุน ไม่เกิน 15 ปีนับจากวันกู้
ซึ่งขณะนี้ ธ.ก.ส. ได้จ่ายสินเชื่อปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตรสู่ความยั่งยืนไปแล้ว 6,584 ราย เป็นเงิน 3,347 ล้านบาท ผู้ที่สนใจหรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555
ขอบคุณที่มา https://www.sentangsedtee.com/job-is-money/article_114872