หน้าแรก

วันที่ 26 สิงหาคม 2562 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตรวจเยี่ยมสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) และมอบนโยบายเร่งรัดการปรับแก้พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถนำน้ำอ้อยไปผลิตสินค้าที่ไม่ใช่น้ำตาล รองรับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวภาพจากอ้อยและน้ำตาลทราย ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Innovation Drive Economy) สู่การสร้างผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงทั้งพลาสติกชีวภาพ เคมีชีวภาพ และชีวเภสัชภัณฑ์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรชาวไร่อ้อยและอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายสู่ความเป็นสากล พร้อมทั้งสั่งการ ให้ สอน. ศึกษาแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยในภาวะราคาอ้อยและราคาน้ำตาลในตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำที่ไม่ขัดต่อพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO)                 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าทางการเกษตร ด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ที่มีภารกิจหลักในการกำกับ ดูแล ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อย น้ำตาลทราย และอุตสาหกรรมต่อเนื่องให้เติบโตอย่างยั่งยืนมีเสถียรภาพ และสร้างระบบแบ่งปันผลประโยชน์ที่เป็นที่ยอมรับและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง จึงได้มอบนโยบายให้ สอน. เร่งดำเนินการปรับแก้พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถนำน้ำอ้อยไปผลิตสินค้าชนิดอื่นที่ไม่ใช่น้ำตาลทรายเพียงอย่างเดียว เพื่อเพิ่มแหล่งรายได้เข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ซึ่งจะสอดรับกับมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี 2561 - 2570 ตามนโยบายของรัฐบาล โดยใช้เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ในอนาคตที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ (New S-Curve) ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชเศรษฐกิจของไทยอย่าง อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน และเกิดผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพที่มีความหลากหลาย ได้แก่ พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) เคมีชีวภาพ (Biochemicals) และชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals)

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ สอน. ดำเนินการขับเคลื่อนมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในการลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ โดยกำหนดเป้าหมายส่งเสริมรถตัดอ้อยเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 4,000 คันในปี 2565 (ปัจจุบันมีรถตัดอ้อย 1,802 คัน) ผ่านโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี 2562 - 2564 สนับสนุนให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเข้าถึงแหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ ส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลในการบริหารจัดการในไร่อ้อยให้มากขึ้น พร้อมทั้งมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการรถตัดอ้อยในประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพรถตัดอ้อยให้เทียบเท่ากับต่างประเทศ และเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ปลูกอ้อยของประเทศไทย พร้อมกับการพัฒนาศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้ง 4 ภาค (จังหวัดกาญจนบุรี กำแพงเพชร ชลบุรี และอุดรธานี) ให้เป็นศูนย์วิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ อาทิ การปรับปรุงพันธุ์อ้อย การจัดการผลผลิต การวิจัยดิน น้ำ โรคและแมลงศัตรูพืชในไร่อ้อย เป็นต้น

นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่ปรับตัวลง ส่งผลถึงราคาอ้อย เนื่องจากราคาอ้อยสูงหรือต่ำนั้นขึ้นอยู่กับราคาน้ำตาลในตลาดโลก โดยทาง สอน. จะคำนวณและประกาศราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2562/2563 ภายในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งจากการประมาณการราคาอ้อยจะไม่แตกต่างจากปีที่แล้วมากนัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้มอบหมายให้ สอน. ดำเนินการศึกษาแนวทางการช่วยเหลือราคาอ้อยในฤดูการผลิตปี 2562/2563 แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย โดยเฉพาะชาวไร่อ้อยรายเล็กให้สามารถเข้าถึงปัจจัยด้านการผลิตที่จำเป็น โดยย้ำว่าการดำเนินการดังกล่าวจะต้องไม่ขัดต่อพันธกรณีภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) นอกจากนี้ แนวการชำระหนี้เงินกู้ธนาคารกรุงไทยของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ที่กู้เงินมาช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี 2558/2559 ซึ่งในปัจจุบันกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ได้นำเงินรายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักร นำไปชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยแล้ว จำนวน 12,184 ล้านบาท โดยจะได้หารือกับกระทรวงการคลังเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณแผ่นดิน เพื่อชำระหนี้เฉพาะในส่วนของเงินต้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2566 จำนวน 2,085 ล้านบาท ทั้งนี้ จะต้องพิจารณาจากงบกลางของรัฐบาลด้วย หากไม่สามารถขอรับการสนับสนุนได้ จะขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้จากธนาคารกรุงไทยออกไปก่อน

ที่มา: http://www.ocsb.go.th/th/cms/detail.php?ID=11045&SystemModuleKey=news

ข่าวปักหมุด