ในยุคดิจิทัลที่มีการเคลื่อนไหวหรือการพัฒนาอะไรใหม่ ๆ และถูกสื่อสาร เผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ใครทำอะไรที่น่าสนใจและมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี กระแสการทำตามก็จะตามมาติด ๆ ตัวอย่างเช่น การทำฟาร์มในร่มที่กำลังมาแรง แม้แต่ห้างค้าปลีก ซูเปอร์มาร์เก็ต ภัตตาคาร โรงแรม ทั่วโลก ต่างก็หันมาใช้ระบบปลูกผักในร่มมากขึ้น ที่มาที่ไปนั้นเริ่มมาจาก ห้างทาร์เก็ต (Target) ในสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มทดลองปลูกผักในห้างเอง ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 2017 โดยเริ่มต้นปลูก มันฝรั่ง บีทรูท ซุคคินี พริกไทย และมะเขือเทศสายพันธ์หายาก และทยอยขยายจำนวนสาขา และจำนวนชนิดของพืชผักที่ปลูกไปเรื่อย ๆ
ต่อมา ห้างค้าปลีกอย่าง Whole Foods ซึ่งมีมหาเศรษฐีเจ้าของเว็บไซต์ อี-คอมเมิร์ซ ชื่อดังยี่ห้อ Amazon เป็นเจ้าของ ก็ประกาศแผนจะเปิดโรงงานปลูกพืชผัก (Plenty) ในเมืองจีนจำนวนกว่า 300 แห่ง เน้นการส่งขายที่ซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมีสตาร์ทอัพปลูกผักของฝั่งยุโรปชื่อว่า InFarm ที่ได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลยุโรปจำนวน 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 80 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการทำวิจัยและพัฒนา ล่าสุดได้เงิน 25 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 800 ล้านบาท จากกองทุนร่วมลงทุนของเอกชน เพื่อขยายระบบปลูกผักไปยัง ซูเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ ทั่วยุโรปให้ครบ 1,000 แห่ง ภายในปี ค.ศ. 2019
ปัจจุบันซูเปอร์มาร์เก็ตในนครเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี จำนวน 50 แห่ง ได้หันมาใช้ระบบปลูกผักแบบนี้ ในห้างของตัวเองกันแล้ว และเป็นที่พึงพอใจทั้งตัวห้างเองและลูกค้าที่มาซื้อผัก เนื่องจากจะได้ผักสดใหม่สะอาด ปลอดภัย ระบบปลูกผักในห้างนี้ สามารถดูแลตัวเองได้โดยแทบจะไม่ต้องใช้คนดูแลอีกเลยเพราะมีเซนเซอร์ต่าง ๆ คอยเก็บข้อมูลและเฝ้าติดตาม
เป็นที่น่าสังเกตว่า การที่ห้างค้าปลีกหันมาปลูกพืชขายเองแบบนี้ ห่วงโซ่ของระบบค้าขายสินค้าภาคเกษตรทั่วโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร เกษตรกรที่เคยปลูกพืชส่งขายให้ห้างค้าปลีกเหล่านี้จะกระทบมากน้อยเพียงใด สิ่งที่เกษตรกรต้องเริ่มกลับมาคิดและเปลี่ยนแปลงตัวเองคือ พัฒนาตนเองเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัล เพื่อให้เราสามารถอยู่รอดอย่างยั่งยืนได้
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/smartfarmthailand
ขอบคุณภาพ; https://reason-why.berlin/