หลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของไทยได้เดินทางพบปะประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีหนึ่งประเด็นสำคัญเกี่ยวกับถั่วเหลือง พืชหมุนเวียนที่พี่น้องมิตรชาวไร่หลายพื้นที่เลือกปลูกในช่วงเวลาพักดินหลังจากที่ปลูกอ้อยมาอย่างยาวนาน
โดยท่านนายกฯเปิดเผยว่า จากการได้พูดคุยกับหลายประเทศทราบว่า ถั่วเหลืองเป็นพืชที่ตลาดโลกต้องการ รวมถึงประเทศไทยซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าถั่วเหลืองมากถึงร้อยละ 99 ถั่วเหลืองจึงเป็นพืชที่มีโอกาสทางตลาดอีกมาก
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงนำนโยบายดังกล่าวมาขับเคลื่อน โดยการส่งเสริมการปลูกพืชที่ตลาดมีความต้องการสูง ทดแทนการนำเข้า และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเพิ่มขึ้น โดยประเทศไทยมีความต้องการใช้ถั่วเหลืองมากถึง 3.2 ล้านตันต่อปี ในขณะที่สามารถผลิตถั่วเหลืองได้เพียง 2 - 3 หมื่นตันต่อปี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมกับสมาคมการค้าผู้ผลิตอาหารจากถั่วเหลืองไทย สมาคมผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลืองและรำข้าว รวมทั้งเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลือง ร่วมกันศึกษา วิเคราะห์ วิจัย นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่มาส่งเสริมผลผลิตถั่วเหลืองให้ได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น จนสามารถเพิ่มผลผลิตจาก 267 กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มเป็น 300 - 400 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นผลสำเร็จ เกษตรกรสามารถจำหน่ายได้ราคาสูง ในราคาเฉลี่ย 21-24 บาทต่อกิโลกรัม ได้ผลตอบแทนสุทธิ ไร่ละ 3,500 - 4,700 บาท ซึ่งมากกว่าผลตอบแทนสุทธิของข้าวเหนียวถึง 2 เท่า
จากการขับเคลื่อนนโยบายและการดำเนินงานข้างต้น จึงได้จัดทำโครงการในแคมเปญ “นวัตกรรมเสริมแกร่งถั่วเหลืองไทย เพิ่มรายได้เกษตรกร” ซึ่งโครงการดังกล่าว ได้คัดเลือกพื้นที่อำเภอแม่ริมและอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนเมืองหลวงของถั่วเหลืองไทยเป็นพื้นที่นำร่องโครงการฯ ซึ่งผลสำเร็จจากแคมเปญครั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะมีการผลักดัน ส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลือง ไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกถั่วเหลืองสำคัญของไทยต่อไป
มิตรผลโมเดิร์นฟาร์มจึงรณรงค์ให้พี่น้องมิตรชาวไร่พักดินปลูกพืชตระกูลถั่วสลับอ้อยให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยดูแลรักษาดินในพื้นที่ที่เราให้คงอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์แล้ว แถมยังมีรายเสริมจากการขายผลผลิตอีกด้วยค่ะ
ขอบคุณที่มาข้อมูล-ภาพ