หน้าแรก

สวัสดีค่ะพี่น้องมิตรชาวไร่ที่รัก สภาพอากาศที่แปรปรวน ฝนที่ไม่ตกตามฤดูกาล อากาศที่ร้อนเกินไป เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่กำลังส่งผลกระทบต่อเราทุกคน สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงหรือที่เรียกกันว่า "Climate Change" ส่งผลต่อเกษตรกรชาวไร่อย่างไรบ้าง ไปติดตามกันค่ะ

สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง หรือ Climate Change ส่งผลกระทบต่อชาวไร่อย่างไร

ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล

สมัยก่อน เราเคยรู้ว่าหน้าฝนจะเริ่มเมื่อไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ฝนมาไม่ตรงเวลา บางทีมาเร็ว บางทีมาช้า ทำให้วางแผนปลูกอ้อยยากขึ้น บางปีปลูกเร็วไป ฝนยังไม่มา อ้อยก็เหี่ยวตาย บางปีปลูกช้าไป ฝนมาเยอะเกินไป อ้อยก็เน่า

ภัยแล้งรุนแรงขึ้น

หน้าแล้งนานขึ้น ร้อนกว่าเดิม ทำให้อ้อยขาดน้ำ โตช้า บางทีตายยกแปลง ชาวไร่ต้องลงทุนทำระบบน้ำเพิ่ม ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น

น้ำท่วมฉับพลัน

ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ทำให้น้ำท่วมไร่อ้อย บางทีท่วมเร็วมาก ไม่ทันตั้งตัว อ้อยแช่น้ำนานเกินไปก็ตาย ทำให้ผลผลิตเสียหาย

อุณหภูมิสูงขึ้น

อากาศร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้อ้อยเครียด ใช้น้ำมากขึ้น บางพันธุ์ทนความร้อนไม่ไหว ให้ผลผลิตน้อยลง ชาวไร่ต้องหาพันธุ์ใหม่ที่ทนร้อนได้ดี

แมลงศัตรูพืชระบาดมากขึ้น

อากาศอุ่นขึ้น ทำให้แมลงศัตรูพืชแพร่พันธุ์ได้เร็วขึ้น และอยู่รอดในหน้าหนาวได้มากขึ้น เกิดการระบาดบ่อยครั้ง ชาวไร่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงมากขึ้น เพิ่มต้นทุนการผลิต

โรคพืชแพร่ระบาดง่าย

สภาพอากาศที่ชื้นและร้อนขึ้น ทำให้เชื้อราและแบคทีเรียเติบโตได้ดี โรคพืชจึงระบาดง่ายขึ้น ชาวไร่ต้องดูแลอ้อยอย่างใกล้ชิดมากขึ้น

ดินเสื่อมคุณภาพเร็วขึ้น

ฝนตกหนักทำให้หน้าดินถูกชะล้าง แร่ธาตุในดินหายไป ส่วนช่วงแล้งยาวนาน ทำให้ดินแห้งแข็ง สูญเสียความอุดมสมบูรณ์ ชาวไร่ต้องใส่ปุ๋ยมากขึ้นเพื่อรักษาผลผลิต

การเก็บเกี่ยวไม่แน่นอน

ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงทำให้อ้อยสุกไม่พร้อมกัน บางส่วนสุกเร็ว บางส่วนสุกช้า ทำให้วางแผนเก็บเกี่ยวยากขึ้น และอาจได้อ้อยคุณภาพไม่สม่ำเสมอ

ผลผลิตน้ำตาลลดลง

อากาศร้อนจัดทำให้อ้อยสร้างน้ำตาลได้น้อยลง ส่งผลให้ค่าความหวาน (CCS) ลดลง ขายได้ราคาต่ำลง

ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

จากปัญหาทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ชาวไร่ต้องลงทุนเพิ่มในหลายด้าน ทั้งระบบน้ำ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และการดูแลรักษา ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น

แล้วเราจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไรดี?

  1. ปรับเปลี่ยนพันธุ์อ้อย: หาพันธุ์ที่ทนแล้ง ทนน้ำท่วม และทนโรคได้ดี
  2. ปรับปฏิทินการปลูก: สังเกตสภาพอากาศและปรับเวลาปลูกให้เหมาะสม
  3. พัฒนาระบบน้ำ: ลงทุนทำระบบน้ำที่มีประสิทธิภาพ เช่น ระบบน้ำหยด
  4. ปรับปรุงดิน: ใส่อินทรียวัตถุเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน
  5. ใช้เทคโนโลยีช่วย: เช่น ใช้แอปฯพยากรณ์อากาศ หรือโดรนสำรวจไร่
  6. ทำเกษตรผสมผสาน: ปลูกพืชอื่นร่วมด้วยเพื่อกระจายความเสี่ยง
  7. รวมกลุ่มเกษตรกร: แลกเปลี่ยนความรู้และช่วยเหลือกัน
  8. ทำประกันภัยพืชผล: เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ
  9. อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม: ช่วยกันดูแลธรรมชาติเพื่อลดผลกระทบในระยะยาว
  10. เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง: ติดตามข่าวสารและเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ

สุดท้ายนี้ อยากฝากถึงพี่น้องมิตรชาวไร่ทุกคนว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นเรื่องใหญ่ที่เราทุกคนต้องเผชิญ แต่ถ้าเราเตรียมตัวให้พร้อม ปรับตัวให้เป็น เราก็จะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันค่ะ

ที่มาข้อมูลจาก : http://climate.tmd.go.th/

ข่าวปักหมุด