หน้าแรก

ในปัจจุบันจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนส่งผลกระทบกับการทำการเกษตร ที่ยากต่อการควบคุม อีกทั้งกระแสรักสุขภาพ ที่นับวันยิ่งต้องจับตามอง เนื่องจากสังคมคนเมืองในปัจจุบันที่ต้องเผชิญทั้งฝุ่นละออง โรคระบาดที่เกิดจากเชื้อไวรัส อย่างโควิด-19 ยิ่งต้องเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เสมอ

การรับประทานพืชผักที่ปลอดภัยจากสารตกค้างที่ยากต่อการมองเห็นด้วยสายตาก็ยากขึ้น จะดีกว่าไหมหากเราสามารถปลูกพืชผักทานเองได้ในครัวเรือน อีกทั้งยังต่อยอดจนสามารถสร้างรายได้อีกทางนึง

มิตรผลโมเดิร์นฟาร์มวันนี้ ขอแนะนำให้รู้จักกับเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า “โรงงานผลิตพืช หรือ Plant Factory” สามารถปลูกพืชในตึก อาคาร และบ้านเรือนได้โดยไม่ต้องมีพื้นที่มหาศาลหรือดินก็สามารถปลูกได้ ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกด้านการเกษตรสมัยใหม่ที่หลายประเทศให้ความสนใจมากขึ้น การผลิตควบคุมด้วยเทคโนโลยีทำให้ปราศจากโรคและแมลง ปลอดสารเคมี ทำให้โรงงานผลิตพืชเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น ตามแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่หันมารักสุขภาพ บริโภคผักที่ปลอดภัยจากสารเคมี ผู้ป่วยที่ต้องการควบคุมสารอาหารต่าง ๆ เช่น ผักกาดขาวโพแทสเซียมต่ำสำหรับผู้ป่วย โรคหัวใจและความดันโลหิตสูง เป็นต้น ตลอดจนสังคมผู้สูงอายุที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ทำให้คาดว่าโรงงานผลิตพืชจะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี

Plant Factory เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีทางเลือกที่นำมาประยุกต์ ใช้ในการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พืชในกลุ่มสมุนไพร เทคโนโลยีนี้สามารถควบคุมปัจจัยต่าง ๆ เช่น ช่วงคลื่นแสง ความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้น แร่ธาตุต่าง ๆ และปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่พืชใช้ในการเจริญเติบโต โดยเลือกใช้หลอดไฟ LED เป็นแหล่งกำเนิดของแสง เนื่องจากให้ความร้อนน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ ประหยัดไฟมากกว่า และสามารถเลือกสีของแสงตามความเหมาะสมของต้นพืชได้ จากการผลิตพืชผักในระบบปิดหรือกึ่งปิดที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวที่พัฒนาจากองค์ความรู้แขนงต่าง ๆ ทั้งด้านสรีรวิทยาพืช การเกษตร วิศวกรรม รวมถึงการจัดการเทคโนโลยี ทำให้มีศักยภาพที่จะพัฒนาให้เป็นรูปแบบการทำฟาร์มในอนาคตของประเทศไทย (Future Farm in Thailand) โดยระบบนี้สามารถปลูกพืชได้มากกว่า 10 ชั้น ขึ้นกับชนิดของพืชนั้น ๆ เป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่จำกัด

จุดเด่นของการปลูกพืชแบบ Plant Factory

  • สามารถผลิตพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพให้ผลผลิตสูงมากขึ้น 10 เท่า

ทั้งด้านอัตราการผลิตที่ผลผลิตต่อพื้นที่ต่อเวลา และการใช้ทรัพยากรในการผลิต

  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะช่วยลดการใช้สารเคมีจากการกำจัดศัตรูพืช วัชพืช และโรคพืช ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ปราศจากสารพิษ
  • ลดการใช้ทรัพยากรน้ำและธาตุอาหาร โดยใช้น้ำเพียง 10% และใช้ปุ๋ยเพียง 25% เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกพืชแบบดั้งเดิม
  • สามารถปลูกพืชได้ในทุก ๆ สภาพอากาศ และในทุก ๆ พื้นที่ รวมทั้งไม่ได้รับผลกระทบ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ
  • มีระยะการเก็บเกี่ยวที่สั้นลง และมีอายุหลังการเก็บนานขึ้น ทำให้ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง
  • สามารถเพิ่มคุณภาพของพืชด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลผลิต เช่น การเพิ่มวิตามิน

สารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งสารสกัดที่ใช้เป็นยารักษาโรค

  • มีการเพิ่มศักยภาพการตลาดที่มีความเติบโตในด้านการผลิตเชิงอุตสาหกรรม โดยส่งวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมยา เวชสำอาง และในกลุ่มคนที่ต้องการพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หรือ Functional Food สำหรับผู้ป่วย และการป้องกันโรค รวมทั้งยังสามารถผลิตพืชมูลค่าสูงอื่น ๆ ที่ไม่สามารถปลูกได้ในระบบปกติ
  • ปัจจุบันมีการลงทุนการผลิตพืชในระบบ Plants Factory ในอัตราก้าวกระโดด และมีแนวโน้มสูงขึ้นทั่วโลก
  • ค่าใช้จ่ายในการลงทุนทำ LED Plant Factory อยู่ที่ประมาณ 127,000 บาท/ตารางเมตร สามารถสร้างรายได้ปีละประมาณ 75,000 บาท/ตารางเมตร จะคืนทุนได้ประมาณ 1-2 ปี

Plant Factory หรือโรงงานผลิตพืชนี้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของเทคโนโลยีที่สามารถส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจการเกษตรที่เป็นยุทธศาสตร์หลักของประเทศและกลับสู่ภูมิลำเนา เพื่อพัฒนาถิ่นกำเนิดสร้างภูมิสังคมที่แข็งแรงตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อีกทั้งในสังคมเมืองก็สามารถสร้างพื้นที่สีเขียวในตัวอาคาร ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่มหาศาลก็สามารถปลูกพืชผักสมุนไพร รับประทานได้เอง ทั้งสะอาดปลอดภัย สดใหม่ ใกล้ครัว พร้อมประกอบอาหารได้ทันที

ข้อมูลจากวารสารมิตรชาวไร่ ปีที่ 7 ฉบับที่ 02 ประจำเดือน มีนาคม-เมษายน 2563

ข่าวปักหมุด