สวัสดีค่ะมิตรชาวไร่ แม้ปีนี้ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสภาวะแล้งจนน่าวิตกกังวล แต่สภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้การกระจายตัวของน้ำฝนผิดปกติไป แน่นอนว่าเหตุการณ์แบบนี้อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตพืชของเกษตรกรได้ ทั้งในด้านการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิต รวมถึงมีการระบาดของศัตรูพืชที่รุนแรง ก็ยิ่งทำให้เกษตรกรมีความเสี่ยงในการลงทุนมากยิ่งขึ้น
ในด้านอ้อย ศัตรูอ้อยที่เป็นมักเป็นปัญหาในสภาพอากาศร้อนแห้ง มีหลายชนิด โดยเฉพาะระยะอ้อยแตกกอ เช่น หนอนกอ และโรคแส้ดำ มิตรผลโมเดิร์นฟาร์มเป็นห่วงชาวไร่จึงขอแนะนำแนวทางในการป้องกันกำจัดศัตรูอ้อยในภาวะแล้ง
หนอนกออ้อย คือนักทำลายอ้อยที่เราพบบ่อย มักทำลายอ้อยทุกระยะการเจริญเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะอ้อยแตกกอทั้งอ้อยปลูกใหม่และอ้อยตอ จะระบาดรุนแรงในสภาพที่อุณหภูมิสูง ความชื้นต่ำ ภาวะแห้งแล้งที่เกิดจากฝนทิ้งช่วง ซึ่งหนอนกออ้อย ที่สำคัญที่พบเข้าทำลายอ้อย มี 3 ชนิด คือ หนอนกอลายจุดเล็ก หนอนกอสีขาว และหนอนกอสีชมพู
หนอนกอลายจุดเล็ก เป็นหนอนที่เจาะกออ้อยบริเวณโคนระดับผิวดินเข้าไปกัดกินส่วนที่กำลังเจริญเติบโตภายในหน่ออ้อย ทำให้ยอดแห้งตาย ทำให้ผลผลิตอ้อยลดลง 5-40% นอกจากนี้ ยังเข้าทำลายอ้อยในระยะอ้อยย่างปล้อง โดยเข้าไปกัดกินอยู่ภายในลำต้นอ้อย ทำให้อ้อยแตกแขนงใหม่ และแตกยอดพุ่ม
หนอนกอสีขาว จะเจาะไชจากส่วนยอดเข้าไปกัดกินยอดที่กำลังเจริญเติบโต ทำให้ยอดแห้งตายโดยเฉพาะใบที่ยังม้วนอยู่ ใบยอดที่หนอนเข้าทำลายจะหงิกงอและมีรูพรุน เมื่ออ้อยมีลำจะเข้าทำลายส่วนที่กำลังเจริญเติบโต ทำให้อ้อยไม่สามารถสร้างปล้องให้สูงขึ้นไปได้อีก ตาอ้อยที่อยู่ต่ำกว่าส่วนที่ถูกทำลายจะแตกหน่อด้านข้างเกิดอาการแตกยอดพุ่ม
หนอนกอสีชมพู จะเจาะเข้าไปกัดกินตรงส่วนโคนระดับผิวดิน เข้าไปกัดกินภายในหน่ออ้อยทำให้ยอดแห้งตาย แม้ว่าหน่ออ้อยที่ถูกทำลายแตกหน่อใหม่ แต่หน่อจะมีอายุสั้น ทำให้ผลผลิตและคุณภาพของอ้อยลดลง
สำหรับแนวทางในการป้องกันและกำจัดหนอนกออ้อย นอกจากการหมั่นเฝ้าระวังที่แปลงอ้อยแล้ว เมื่อเราพบความผิดปกติที่เกิดจากการทำลายของหนอนกออ้อย ไร่อ้อยที่อยู่ในแหล่งชลประทานควรให้น้ำเพื่อ ให้อ้อยแตกหน่อชดเชย
โดยหากพบการระบาดในระยะกลุ่มไข่ (3-6 วัน) ให้ปล่อยแตนเบียนไข่ไตรโครแกรมมา 3,500 ตัว/ไร่/ครั้ง ปล่อยติดต่อกัน 2-3 ครั้งในช่วงที่พบ
ระยะหนอน (30-35 วัน) ให้ปล่อยแตนเบียนหนอนโคทีเซีย 50-100 ตัว/ไร่
หากพบหนอนกอตัวเต็มวัยให้ปล่อยแมลงหางหนีบไร่ละ 500 ตัว โดยปล่อยให้กระจายทั่วแปลง และควรปล่อยให้ชิดกออ้อย และใช้ใบอ้อยหรือฟางที่เปียกชื้นคลุมจะช่วยให้โอกาสรอดสูงขึ้น และปล่อยซ้ำถ้าการระบาดยังไม่ลดลง
หากมิตรชาวไร่เลือกปล่อยแตนเบียนไข่ไตรโครแกรมมา ไม่ต้องปล่อยแมลงหางหนีบนะคะ เพราะแมลงหางหนีบจะกินแตนเบียนไข่ไตรโครแกรมมาด้วย แต่ถ้าพบว่าอ้อยแสดงอาการยอดเหี่ยวมากกว่า 10% ให้พ่นสารกำจัดแมลง ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีในแปลงที่ปล่อยแตนเบียนไข่ไตรโครแกรมมาและแมลงหางหนีบด้วยค่ะ
โรคแส้ดำ (Smut) นั้น เกิดจากเชื้อรา ชื่อว่า อัสทิลาโก สิธามิเนีย (Ustilago scitaminea) จัดว่าเป็นโรคที่สำคัญมากโรคหนึ่งของอ้อยในประเทศไทย ทั้งนี้เพราะทำความเสียหายต่ออุตสาหกรรมการปลูกอ้อยเป็นอันมาก
โรคแส้ดำตัวร้ายนี้จะระบาดมากในฤดูปลูก เมื่ออ้อยอายุประมาณ 3-6 เดือน ส่วนมากเป็นกับอ้อยตอมากกว่าอ้อยปลูกใหม่ ทำให้ผลผลิตต่อไร่ลดลงหรือเก็บเกี่ยวไม่ได้เลย คุณภาพลดลง ในพันธุ์ที่อ่อนแอต่อโรคปริมาณน้ำตาลจะต่ำกว่าปกติ 10-28 เปอร์เซนต์ น้ำหนักลดลง 70-75 เปอร์เซนต์ อ้อยแห้งตายได้ทุกระยะการเจริญเติบโต โรคนี้ทำให้ผลผลิตลดลง 2.4-9.6 ตันต่อไร่ คุณภาพความหวานลดลง 0.5-2 ซี.ซี.เอส.
อาการของโรคนี้จะพบได้ทั้งอ้อยปลูกและอ้อยตอ โดยอ้อยตอจะพบมากกว่าโดยสังเกตจากอาการส่วนยอดอ้อยที่ถูกทำลาย มีลักษณะคล้ายแส้ยาวสีดำ จึงเรียกว่า โรคแส้ดำ ส่วนในหน่ออ้อยอาการพบได้ในทุกระยะการเจริญ โดยเชื้อเข้าทำลายตายอดให้ยืดยาวออกและสร้างสปอร์ที่ผิวของยอดที่ยืดยาวออก ในระยะแรกจะมีเยื่อบาง ๆ สีขาวหุ้มอยู่ ต่อมาเยื่อบางค่อย ๆ แตกออก มีสีดำลักษณะเป็นฝุ่นผง อาการแส้ดำนี้เกิดมาจากยอดอ้อยที่มาจากท่อนพันธุ์อ้อยที่ติดเชื้อ หรือปลูกท่อนอ้อยลงในดินที่มีเชื้อ อ้อยที่ถูกเชื้อเข้าทำลายมีอาการแคระแกรน ลำเล็ก แตกกอคล้ายตะไคร้อ้อยไม่ย่างปล้อง ถ้าเป็นรุนแรงมาก อ้อยอาจแห้งตายทั้งกอได้ กอที่บางลำในกอเจริญเป็นลำ ลำอ้อยจะผอมลีบกว่าลำอ้อยปกติ
การแพร่ระบาดของโรค ส่วนใหญ่เป็นลมพัดพาสปอร์แพร่ไป นอกจากนี้ก็มี ฝนและน้ำ หรือท่อนพันธุ์อาจได้รับเชื้อทางสัมผัสโดยตรง หรือจากสปอร์ที่มีอยู่ในดินก่อนที่จะปลูก
แปลงอ้อยตอ เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคในแปลงปลูก และได้ฟื้นฟูสภาพดินไปในตัวด้วย
ขอบคุณที่มา