หน้าแรก

“ต้นไม้ฝีมือมนุษย์” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงต้นไม้ที่มนุษย์เราปลูกเองกับมือนะคะ แต่หมายถึง Metallic Trees ต้นไม้ที่มนุษย์สร้างขึ้นมากับภารกิจการจัดการวิกฤตสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรือ Climate Change นั่นเองค่ะ   

อย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วว่า ต้นเหตุหนึ่งที่สำคัญของภาวะโลกร้อน คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยยับยั้งปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นได้นั้น คงจะหนีไม่พ้นต้นไม้ ที่มีความสามารถในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไม่ให้หลุดลอยไปสู่ชั้นบรรยากาศ และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นออกซิเจนให้สิ่งมีชีวิตได้หายใจผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง

แต่ทว่าต้นไม้บนโลกมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ จากการขยายตัวของเมือง ประกอบกับอัตราการสังเคาะห์แสงของต้นไม้นั้นทำได้ค่อนข้างช้า จึงทำให้อาจไม่เพียงพอสำหรับการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์    

ดังนั้น ศาสตราจารย์ Klaus Lackner จาก มหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนา (Arizona State University) ได้ทำการวิจัยด้านการรวบรวมคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยการใช้เทคนิคที่ใช้พลังงานต่ำและราคาที่ถูกด้วย และด้วยเหตุนี้เอง Lackner จึงได้สร้าง ต้นไม้โลหะ (Metallic Trees) ขึ้นมาเพื่อช่วยในการดักจับและกักเก็บคาร์บอน ซึ่งเขากล่าวว่าต้นไม้โลหะนี้สามารถดูดซับคาร์บอนได้มากกว่าต้นไม้ตามธรรมชาติถึง 1,000 เท่าเลยทีเดียว   

003.jpg

กระบวนการในการทำงานของต้นไม้โลหะนี้ เริ่มด้วยการใช้เรซินเคมีรวบรวมและกักเก็บคาร์บอนเอาไว้ในขณะที่ยังแห้งอยู่ ซึ่งต้นไม้จะรวบรวมคาร์บอนด้วยวิธีแห้งนี้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงนำแผ่นเรซินหย่อนลงไปในภาชนะที่บรรจุกน้ำและไอน้ำ ภาชนะดังกล่าวจะกักเก็บคาร์บอนเอาไว้และแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่   

ต้นไม้โลหะนี้ ยังอยู่ในขั้นทดสอบ เขายังจำเป็นต้องใช้เวลาและเงินทุนอีกมากมาย ก่อนจะปล่อยต้นไม้เหล่านี้ออกสู่สาธารณะได้ ในระยะยาวพวกเขากำลังพยายามที่จะเปลี่ยนคาร์บอนที่ดักจับได้ให้กลายเป็นของแข็งผ่านการทำปฏิกิริยาต่อแคลเซียม ซึ่งนั่นยังเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาต่อไป

อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ต้นไม้ใช้พลังงานหมุนเวียนได้ทั้งหมด ทำให้หลายหน่วนงานสนใจในนัวตกรรมดังกล่าว มหาวิทยาลัยแอริโซนาจึงได้มอบทุนให้เขาอีก 2.5 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาต้นไม้โลหะนี้ต่อไป

ในอนาคตอีกไม่นานเราจะมีต้นไม้โลหะเพื่อช่วยโลกของเรามากยิ่งขึ้นจากฝีมือของมนุษย์สุดมหัศจรรย์นี่เองค่ะ

ขอบคุณที่มาข้อมูล-ภาพ

https://www.seub.or.th/bloging/

https://markreedsculpture.com/

 

 

ข่าวปักหมุด