สูตรสำเร็จ การสอดประสานพลังพ่อลูกสองวัย
ต่อยอดธุรกิจไร่อ้อยยั่งยืนด้วยมิตรผลโมเดิร์นฟาร์ม
ปัญหาการขาดทายาทรับช่วงสานต่ออาชีพ คือหนึ่งความกังวลใจ ที่ท้าทายจิตใต้สำนึกของมิตรชาวไร่ที่ยึดถือการทำไร่เป็นอาชีพหลัก เพราะวันนี้ คนรุ่นใหม่ต่างมองการทำไร่เป็นงานหนัก ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ชีวิตไม่สะดวกสบายเหมือนนั่งทำงานในออฟฟศิโก้หรูในเมืองใหญ่
คุณประจิม ห้องกระจก มิตรชาวไร่อาวุโสแห่งโรงงานน้ำตาลมิตรผลสิงห์บุรี คือหนึ่งในมิตรชาวไร่ ที่เคยมีความกังวลใจในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย อาณาจักรไร่อ้อยกว่า 700 ไร่จะมีทายาทมาสานต่อหรือไม่? จนในที่สุดลูกสาวคนกลางอย่างคุณก้อย นิศากร ห้องกระจก ตัดสินใจหันหลังให้ชีวิตเมืองหลวง กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะของ “ชาวไร่อ้อย”
คุณก้อย นิศากร ห้องกระจก เปิดใจถึงการตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางชีวิตครั้งสำคัญให้เราฟังว่า “พ่อส่งก้อยไปเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก้อยเลือกเรียนคณะมนุษย์ศาสตร์ สาขาการโรงแรม และการท่องเที่ยว พอเรียนจบก็เริ่มทำงานเป็นไกด์ตามที่ได้ร่ำเรียนมา ชีวิตช่วงนั้นสนุกมาก ได้เดินทางไปหลายที่ จนพ่อแม่สงสาร เขาชวนให้ก้อยกลับมาทำงานที่บ้าน ตอนนั้นยังไงเราก็ไม่เอา อยากเป็นมนุษย์เงินเดือนใช้ชีวิตสนุกสนาน อยู่ในเมืองมากกว่า มันดูเท่ดี แต่ถ้าถามว่าเงินพอใช้ไหม ก็ต้องบอกว่า ไม่คะ ช่วงนั้นถึงจะทำงานแล้ว แต่ก็ยังขอเงิน คุณพ่ออยู่เรื่อยๆ” คุณก้อยเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ “จากเป็นไกด์ก็ลองเปลี่ยนงาน เป็นสาวออฟฟิศทำหน้าที่ดูแลลูกค้าให้กับกลุ่มเซนทรัล รวมแล้วใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯประมาณ 12 ปี” คุณก้อยกล่าว
ระหว่างที่ลูกสาวกำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานเป็นพนักงานประจำในกรุงเทพ ผู้เป็นพ่ออย่างคุณประจิมก็เร่งขยายและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่อาณาจักรไร่อ้อยของครอบครัว
“เราค่อยๆสร้างค่อยๆทำไร่อ้อยไปเรื่อยๆ จนวันนี้เรามีไร่ของตัวเองอยู่ 700 กว่าไร่ รวมที่เช่าด้วยก็ประมาณ 850 ไร่ ตอนที่ลูก ๆ อยู่กรุงเทพ เราก็เคยคิดว่าคงมีสักคนที่จะมาสานต่อกิจการของเรา มีทั้งไร่ มีทั้งรถ เรียกว่ามีทุกอย่างในมือ แต่ก็มีบางอารมณ์ที่เคยคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าไม่มีใครสานต่อจะทำยังไง สงสัยคงต้องขายทิ้ง (หัวเราะ)”
“เรื่องลูก ต้องให้เขาคิดให้เขาตัดสินใจกันเอง เราก็ยังต้องทำไร่ต่อไป เทคนิคดีอะไรใหม่ที่ว่าดี ส่วนใหญ่จะมาจากมิตรผล เขาก็จะมาชวนให้ไปดูกัน อย่างมิตรผลโมเดิร์นฟาร์มนี่เราก็ได้ไปเห็น ตอนที่มิตรผลพาเราไปดูงานที่อีสาน เห็นแล้วมันก็ช่วยเติมแรงบันดาลใจให้ผมได้มาก ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นหลายอย่าง มันตอบโจทย์ได้หลายข้อ โดยเฉพาะปัญหาขาดคนงานตัดอ้อย กลับมาก็เลยซื้อเครื่องไม้เครื่องมือเพิ่มเพราะแรงคนต่อไปนี้หายาก ต้องใช้เครื่องจักรเข้าช่วยแล้ว จากนั้นมิตรผลก็พาผมไปดูงานที่ออสเตรเลีย คราวนี้ตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าเดิม ผมกลับมารีบปรับปรุงพื้นที่เตรียมแปลงรองรับรถตัดเป็นการใหญ่ระบบไหนปรับได้ก็ปรับ ปรับให้มันง่ายขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการจัดการในไร่แทบทั้งนั้น และด้วยวิธีใหม่ๆ เหล่านี้แหละที่ทำให้ผมคิดว่าเป็นอะไรที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่อย่างลูกๆ ผมเพราะเขาจะเรียนรู้ได้เร็ว และไปไวกว่าเรา” คุณประจิมกล่าว
เมื่อจุดเปลี่ยนของชีวิตมาถึงบรรจบกับโอกาสการทำธุรกิจไร่อ้อยในรูปแบบใหม่ตามแนวทางของมิตรผลโมเดิร์นฟาร์ม ทำให้คุณก้อยตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่กรุงเทพฯ แล้วกลับมาสานต่อธุรกิจทำไร่อ้อย กลายเป็นชาวไร่นักธุรกิจเจนเนอเรชั่นใหม่ที่พร้อมลุยงานและสานต่อกิจการของคุณพ่ออย่างเต็มตัว
“ตอนนี้กลับมาทำธุรกิจไร่อ้อยอย่างเต็มตัวได้ 3 ปีแล้วค่ะหลายคนเรียกว่ากลับมาทำไร่ แต่เราเรียกว่ากลับมาทำธุรกิจจะดูสวยกว่า เพราะมันคือธุรกิจของเรา พอได้มาทำเอง รู้เลยว่าอาชีพทำเกษตรนี่มันมีเสน่ห์มากเหมือนกันนะคะ อย่าไปคิดว่าการกลับมาทำไร่คือการมาเป็นชาวไร่ แต่ต้องคิดใหม่ วันนี้เรากลับมาเป็นผู้ประกอบการ จะทำให้มุมมองในการทำงานของเราเปลี่ยนไป เราไม่ได้คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้ปลูกอ้อยขึ้น แต่เราคิดว่าจะทำอย่างไรให้ผลผลิตจากไร่ของเรามีกำไรได้มากขึ้น ลดต้นทุนอย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น บริหารจัดการลูกน้องอย่างไรให้เขาทำงานได้เต็มศักยภาพ นี่คือความท้าทายของเรา” คุณก้อยกล่าว
การเดินตามรอยหลักสี่เสาของมิตรผลโมเดิร์นฟาร์ม ทำให้คุณประจิมและคุณก้อยมีทิศทางในการทำ ธุรกิจไร่อ้อยที่ทันสมัยและชัดเจน โดยใช้จุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละช่วงวัยเข้ามาสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยอาศัยคนรุ่นพ่ออย่างคุณประจิมที่มีทั้งความเก๋าและประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนานจากการลงมือทำจริงสอดผสานกับพลังสร้างสรรค์ของคนรุ่นลูกอย่างคุณก้อย ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มในส่วนของการเรียนรู้และประยุกต์ใช้เทคนิควิธีการใหม่ตามแนวทางของมิตรผลโมเดิร์นฟาร์ม
“ก้อยเข้ามาช่วงที่พ่อเริ่มปรับการทำไร่เป็นแบบมิตรผลโมเดิร์นฟาร์ม ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีมาก ก้อยโชคดีหลายอย่าง ก้อยโชคดีที่พ่อมีไอเดียคล้อยตามกับหลักสี่เสาของโมเดิร์นฟาร์ม โชคดีที่พ่อเป็นคนทันสมัย ในช่วงที่ก้อยกลับมาช่วยพ่อแรก ๆ ก็ได้มีโอกาสเข้าไปช่วยในเรื่องการจัดการไร่โดยใช้เครื่องจักร ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้รู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นี้มันว้าวมาก ไม่ได้ล้าหลังอย่างที่ใคร ๆ คิด เป็นการทำไร่อ้อยสมัยใหม่ และเป็นวิธีที่ได้ผลจริง ๆ มิตรผลโมเดิร์นฟาร์มทำให้เรารู้สึกว่า การทำไร่นี่คือ การทำธุรกิจ เราคือผู้ประกอบการ เป็นเถ้าแก่ไม่ใช่คนทำงานในไร่ มีหลักการทำธุรกิจที่ทันสมัย เชื่อถือได้ ประเมินได้ และวัดผลได้จริง”
สำหรับวิธีการในการทำงานร่วมกันระหว่างคุณก้อยและคุณพ่อนั้น แน่นอนว่าด้วยช่องว่างระหว่างวัย ย่อมทำให้มีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง โดยคุณก้อยเล่าให้เราฟังถึงบรรยากาศในการทำงานร่วมกันอย่างน่าสนใจว่า “ก้อยว่าปัญหาหนึ่งของการเป็นทายาทแล้วกลับมาสืบทอดกิจการที่บ้านต้องทำงานกับพ่อกับแม่นั้นคือความกดดัน ถ้าทำงานบริษัท เมื่อโดนนายตำหนิหรือดุ พอเลิกงานปัญหาก็จบ พอกลับบ้าน ก็ไม่ต้องเจอหน้าเจ้านายแล้ว แต่พอก้อยมาทำงานกับพ่อ ถ้าโดนพ่อดุ เลิกงานแล้วเราก็ต้องเจอกันต่อ กินข้าวด้วยกัน อยู่บ้านเดียวกัน เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าความกดดันที่ทายาทได้รับเป็นอีกความท้าทายหนึ่ง แต่ก้อยใช้วิธีคุยกับพ่อ อธิบายให้พ่อเข้าใจความคิดเรา และให้พ่อใช้ประสบการณ์ที่เคยเจอมาช่วยดูและตัดสินใจ”
คุณก้อยได้เรียนรู้การทำงานและการควบคุมจัดการลูกน้องด้วยการศึกษาและเดินรอยตามคุณประจิม“หลักการที่ได้เรียนรู้จากการทำงานของพ่อคือ พ่อเป็นคนใจดีที่มีความเด็ดขาด พ่อมีทั้งพระเดช และพระคุณ เราเป็นลูกแถมเป็นลูกผู้หญิงด้วย สิ่งที่ยากคือ พ่อสั่งสมบารมีจากการทำงานกับลูกน้องมาสี่สิบปี เราเพิ่งเข้ามาสามปี แต่ก็ต้องคุมคนให้ได้แบบที่พ่อทำ วิธีการของก้อยคือทำให้ลูกน้องได้เห็นว่า เราเอาจริง เขาทำอะไร เราก็ทำด้วย เราต้องทำให้ลูกน้องเชื่อว่าเราไม่ใช่คนรุ่นใหม่ที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”
ด้านคุณประจิม ก็ได้แนะหลักการในการทำงานร่วมกับทายาทให้ประสบผลสำเร็จว่า “เมื่อลูก ๆ เขากลับมาช่วยงานเราแล้วสิ่งแรกที่ผมว่าคนเป็นพ่อแม่ต้องทำ นอกจากจะมัวแต่ดีใจปลื้มใจแล้ว เราต้องปรับทัศนคติ ต้องเปิดใจในการทำงานร่วมกับเด็กยุคใหม่ เขาพูดอะไรมา เราต้องรับฟัง เชื่อเขาบ้าง บางเรื่องเรารู้เขาไม่รู้ แต่บางเรื่องเขารู้ เราไม่รู้ ก็มีปัจจัยหลักในการทำงานร่วมกัน คือ ต้องรับฟังกันทั้งสองฝ่าย ไม่อย่างนั้นทำงานด้วยกันไม่ได้แน่”
คุณประจิมได้กล่าวต่อไปอย่างภูมิใจว่า “ก้อยเข้ามาช่วยในเรื่องมิตรผลโมเดิร์นฟาร์มเยอะมาก ทำให้การทำไร่ของเราคล่องตัวขึ้น เข้ามาปรับปรุงระบบการทำงาน เครื่องไม้เครื่องมือตอนนี้ผมเริ่มเบาแล้ว ค่อย ๆ โอนถ่ายงานให้ลูกไปเรื่อย ๆ ดีใจที่ได้เห็นเขาค่อย ๆ เติบโตไปพร้อม ๆ กับธุรกิจที่เราสร้างขึ้นมาครับ”
และนี่คือสูตรการสอดประสานรวมพลังกันระหว่างคนสองวัยในตระกูลห้องกระจก โดยใช้หลักมิตรผลโมเดิร์นฟาร์มมาช่วยต่อยอดให้อาณาจักรไร่อ้อยของครอบครัวได้เติบโตอย่างยั่งยืน